(อ่านแล้ว 105 ครั้ง)
“ย้าย 45 บิ๊ก มท. สีน้ำเงินบุก — คืนอำนาจหรือคัดสรรคนใน?”
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 คณะรัฐมนตรีอนุมัติการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยจำนวน 45 ตำแหน่ง ภายใต้ข้ออ้าง “คืนความเป็นธรรม – ใช้คนให้ถูกงาน – หลุดจากแรงกดดันการเมืองก่อนหน้า” แต่เบื้องหลังการย้ายชุดนี้ ส่องให้เห็นเงาของ “การเมืองแทรกแซงราชการ” อย่างชัดเจน
เบื้องหน้า: รายชื่อเด่นที่ถูกพูดถึง
-
นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ — พ้นจากผู้ตรวจราชการ → เป็น อธิบดีกรมการปกครอง
-
นายพรพจน์ เพ็ญพาส — พ้นจากรองปลัด → กลับมาเป็น อธิบดีกรมที่ดิน (คัมแบ็ก)
-
นายสยาม ศิริมงคล — ผู้ว่าฯ สมุทรปราการ → อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน
-
นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี — พ้นจากอธิบดีกรมที่ดิน → ผู้ว่าฯ ขอนแก่น
-
นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ — ผู้ว่าฯ อุทัยธานี → อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
-
นายเชษฐา โมสิกรัตน์ — อธิบดี ปภ. → ผู้ว่าฯ นนทบุรี
-
นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล — ผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี → อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
-
ว่าที่ พ.ต.อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ — ผู้ตรวจราชการ → ผู้ว่าฯ นครพนม
-
ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์ — อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น → ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน
-
นายปิยะ ปิจนำ — ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ → อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
-
นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ — ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ → ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์
-
นายณรงค์ เทพเสนา — ผู้ตรวจราชการ → ผู้ว่าฯ อุบลราชธานี
-
นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล — ผู้ตรวจราชการ → ผู้ว่าฯ พระนครศรีอยุธยา
-
นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร — ผู้ตรวจราชการ → ผู้ว่าฯ นครพนม
-
นางสาว ชุติพร เสชัง — ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน → ผู้ว่าฯ นครสวรรค์
-
นายรัฐพล นราดิศร — ผู้ว่าฯ เชียงราย → ผู้ว่าฯ เชียงใหม่
-
นายทศพล เผื่อนอุดม — ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ → ผู้ตรวจราชการ
-
นายโชตินรินทร์ เกิดสม — ผู้ว่าฯ สงขลา → ผู้ตรวจราชการ
-
รวมถึง นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม, นายภาสกร บุญญลักษม์, นายชรินทร์ ทองสุข, นายชำนาญ ชื่นตา, นายศักระ กปิลกาญจน์, นายสมภพ สมิตะสิริ, นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร, นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา, (และอีกหลายคนที่ราชการ ประกาศไว้ในแหล่งข่าว)
เบื้องหลัง & บทวิเคราะห์: เมื่อ “โยกย้าย” กลายเป็นเกมอำนาจ
1. คืนอำนาจ “สีน้ำเงิน”
สื่อหลายแห่งระบุคำว่า “สีน้ำเงินเพียบ” — สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงกลุ่มการเมืองหรือเครือข่ายที่มีกำลังผลักดันให้นายกฯ และรมว.มหาดไทยเชื่อมโยง — การโยกย้ายครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่อำนาจบริหาร แต่เป็นการปรับภูมิทัศน์อำนาจราชการให้สอดคล้องกับกลไกการเมืองใหม่.
2. “คัมแบ็ก” และ “คืนสถานะ”
พรพจน์ เพ็ญพาส กลับขึ้นนั่งกรมที่ดิน — เป็นสัญญาณว่าอำนาจทางด้านที่ดิน (ซึ่งมีผลประโยชน์มหาศาล) กลับมาอยู่ในมือผู้ที่เคยมีบทบาทสำคัญ
นฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ขึ้นอธิบดีกรมการปกครอง — เป็นการโยกจากบทผู้ตรวจราชการ ซึ่งแสดงว่า “คนใน” ยังคงได้เปรียบ
หลายตำแหน่งที่โยกหรือแต่งตั้งใหม่นั้นเป็นการโยก “รวมหมู่” ในโซนที่เคยถูกตีตกหรือโดนโยกออก — เป็นการ “คืนสถานะ” ให้กับคนที่อาจถูกกดดันมาก่อนหน้า.
3. โยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด — ลงถึงภูมิภาค
การโยกผู้ว่าฯ หลายจังหวัดพร้อมกัน (เช่น ภูเก็ต, นครสวรรค์, สงขลา, บุรีรัมย์ ฯลฯ) แสดงให้เห็นว่าการควบคุมอำนาจไม่ได้หยุดที่กรุงเทพ แต่มีแผนจะ “ควบรวมอำนาจท้องถิ่น” กับโครงสร้างส่วนกลาง
การเคลื่อนย้ายผู้ว่าฯ พร้อมกับหัวหน้ากรม อาจช่วยให้นโยบายจากกลางถูกผลักลงสู่ท้องถิ่นได้รวดเร็วขึ้น — แต่ก็เปิดช่องให้ผู้ว่าฯ ใหม่ซึมซับอิทธิพลใหม่ทันที.
4. ความเสี่ยงต่อ “เสถียรภาพราชการ”
การโยกย้ายชุดใหญ่ในช่วงเวลาสั้น ๆ อาจรบกวนการเชื่อมโยงงานต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติอาจสับสนเรื่องนโยบายใหม่
การสลับตัวหัวหน้าโดยไม่ให้เวลาปรับพื้นฐาน ก่อให้เกิด “การตกหล่น” ของโครงการสำคัญ
ถ้านโยบายไม่ชัดเจน ผลประโยชน์ท้องถิ่นอาจกลายเป็นฐานใหม่ของการแข่งขันทางการเมือง
5. ความโปร่งใสเป็นเดิมพัน
รัฐบาลประกาศ “คืนความเป็นธรรม” แต่สังคมตั้งคำถามมากกว่าเชื่อ
ถ้าการโยกย้ายไม่เปิดเผยเหตุผลชัดเจน หรือไม่มีคู่มือประเมินผลงานประกอบ พรรคฝ่ายค้าน สื่อ และภาคประชาชนย่อมจับตามอง
หากผลการโยกย้ายไม่เกิดประสิทธิภาพ เช่น ค่าใช้จ่ายสูง โครงการล่าช้า หรือทุจริตท้องถิ่นเพิ่มขึ้น — รัฐมนตรีมหาดไทยและรัฐบาลจะถูกตั้งคำถามหนัก
บทสรุป
การโยกย้าย 45 รายชื่อครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การบริหารราชการ แต่เป็น การรื้อสร้างสนามอำนาจใหม่ในราชการไทย — คืนตำแหน่งให้กลุ่มที่อาจเคยถูกวางไว้ข้างนอก ปรับโครงข่ายอำนาจให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ และขยายอิทธิพลสู่ภูมิภาค
ในอีกไม่ช้า เราจะเห็นว่า “คนใหม่” เหล่านี้จะเดิน ‘ตามนโยบาย’ หรือเดิน ‘ในเส้นเครือข่าย’ ใครได้ประโยชน์จริงใครเสียเปรียบ คือสมรภูมิที่ประชาชนควรมองให้ลึก https://news-wanmai.blogspot.com/2025/10/45.html




